วันพุธที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2560

สับปะรด

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สับปะรด





สับปะรด  PINEAPPLE


สรรพคุณทางยา สับปะรดเป็นพืชที่มีคุณค่าทางอาหารสูง เนื่องมาจากมีปริมาณของวิตามิน เกลือแร่ และเส้นใยไฟเบอร์ที่มีอยู่มากมายในผลสับปะรด นอกจากนี้แล้ว สับปะรด ก็ยังมีสรรพคุณในทางยามากมายหลายอย่าง อาทิเช่น การช่วยย่อยอาหาร เสริมสร้างการดูดซึมอาหารของร่างกาย การลดความร้อนของร่างกายและยังช่วยแก้กระหาย


นอกจากนี้ยังได้มีการศึกษาวิจัยจนกระทั่งพบว่า ผู้ที่รับประทานสับปะรดเป็นประจำแล้ว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นโรคไตอักเสบและโรคความดันโลหิตสูงอีกด้วย


ตำรับยาแผนโบราณ ให้นำเอาเนื้อของผลสับปะรดมารับประทานแล้ว ก็จะช่วยบรรเทาอาการบวมน้ำของร่างกาย และยังช่วยในการขับปัสสาวะอีกด้วย หรือหากรับประทานน้ำสับปะรดเป็นประจำแล้ว ก็จะช่วยลดความร้อนของร่างกาย และช่วยลดอาการกระสับกระส่ายได้เป็นอย่างดีอีกด้วยรูปภาพที่เกี่ยวข้อง

น้ำสับปะรด

ส่วนผสม

• เนื้อสับปะรด                                  240 กรัม (1/4 ผลใหญ่)
• น้ำเชื่อม                                          15 กรัม (1 ช้อนคาว)
   (ใช้สารให้ความหวาน หรือน้ำตาลเทียม 1 ซองเล็กแทนได้
   ถ้าทำวิธีที่ 2 อาจต้องเพิ่มอีก 15 กรัม เนื่องจากเพิ่มน้ำแข็งและน้ำเปล่า)
• เกลือป่นเสริมไอโอดีน                         2 กรัม (2/5 ช้อนชา)
• น้ำเข็งทุบละเอียด (สำหรับวิธีที่ 2)    240 กรัม (1 1/2 แก้ว)
• น้ำเปล่าสะอาด (สำหรับวิธีที่ 2)           90 กรัม (ประมาณ 1/2 แก้ว)

วิธีทำ

• วิธีที่ 1
นำสับปะรดล้างให้สะอาด ปอกเปลือกล้างน้ำ นำเนื้อสับปะรดคั้นเอาแต่น้ำ เติมน้ำเชื่อม เกลือ ชิมรสตามชอบ

• วิธีที่ 2
ใช้เนื้อสับปะรด เหมือนวิธีที่ 1 ใส่เครื่องปั่น เติมเกลือ น้ำเปล่า และน้ำเชื่อม เกลือ จากนั้นเติมน้ำแข็งทุบละเอียด ปั่นให้ละเอียด ชิมรสตามชอบ 

 ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ

คุณค่าทางอาหาร    มีแคลเซียม และฟอสฟอรัสมาก ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน รองลงมามีวิตามินซี ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน
คุณค่าทางยา           ช่วยย่อยอาหาร ลดอาการแน่นท้อง ลอดอาการอักเสบ บวม ซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่สึกหรอ ช่วยขับปัสสาวะ ลดอาการแผลร้อนในในปาก

ตำรายาไทยใช้เนื้อผลเป็นยาแก้ไอขับเสมหะ เหง้าเป็นยาขับปัสสาวะ แก้นิ่ว พบว่าลำต้นและผลมีเอนไซม์ย่อยโปรตีน ชื่อ bromelain ใช้เป็นยาลดการอักเสบและบวมจากการถูกกระแทก บาดแผล หรือการผ่าตัด

เงาะ



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงาะ


เงาะ  RAMBUTAN

หากลองนึกย้อนกลับไปตั้งแต่สมัยเด็กว่า ผลไม้ชนิดแรกที่เรารู้จักกันนั้นคืออะไร เชื่อว่าต้องมีไม่น้อยเลยที่บอกว่าคือ "เงาะ" เพราะเป็นผลไม้ที่คนส่วนใหญ่นิยมกินกันมากและมีวางขายอยู่ทั่วไปในช่วงฤดูกาล ลักษณะภายนอกของผลเงาะมีขนขึ้้นตามเปลือกที่มีสีแดงๆ และยังเป็นผลไม้โปรดของหลายคน ด้วยเนื้อข้างในของเงาะมีรสชาติที่หวาน กรอบ และอมเปรี้ยวนิดๆ นอกจากนี้ทุกคนก็คงคิดไม่ออกแล้วว่าเงาะจะมีอะไรที่พิเศษไปกว่าความอร่อย แต่รู้หรือไม่ว่า สรรพคุณและประโยชน์ของเงาะเรียกว่าใหญ่เกินตัวเลยทีเดียว
สรรพคุณทางยา...คุณค่าเกินตัวของเงาะ

ขอบอกให้ไปบอกต่อๆ กันเลยว่า เจ้าเงาะลูกน้อยนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรอีกด้วยแหละ นั่น...ทำหน้างงกันใหญ่เลย แถมยังสงสัยอีกแน๊ะว่าจริงเหรอ?...ต้องบอกกันเลยแล้วกันว่า เงาะนั้นถือเป็นผลไม้ดับร้อน เมื่อกินเนื้อข้างในเข้าไปแล้วจะสร้างความฉ่ำเย็นให้แก่ร่างกาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน และใยอาหาร

เงาะมีฤทธิ์และสรรพคุณในการช่วยป้องกันและบรรเทาอาการป่วยจากโรคได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นช่วยป้องกันโรคหวัด มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง แก้อาการท้องร่วงได้ผลดีมาก นอกจากนี้ในส่วนของเปลือกเงาะก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อย เพราะมีการวิจัยสกัด "สารแทนนิน (Tannin)" ในเงาะเพื่อใช้เป็นยาแก้อักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรียสรรพคุณทางยา...คุณค่าเกินตัวของเงาะ

ขอบอกให้ไปบอกต่อๆ กันเลยว่า เจ้าเงาะลูกน้อยนี้ยังมีคุณสมบัติเป็นยาสมุนไพรอีกด้วยแหละ นั่น...ทำหน้างงกันใหญ่เลย แถมยังสงสัยอีกแน๊ะว่าจริงเหรอ?...ต้องบอกกันเลยแล้วกันว่า เงาะนั้นถือเป็นผลไม้ดับร้อน เมื่อกินเนื้อข้างในเข้าไปแล้วจะสร้างความฉ่ำเย็นให้แก่ร่างกาย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง อุดมไปด้วยสารอาหารที่สำคัญมากมาย อาทิ คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินซี แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก ไนอาซิน และใยอาหาร

เงาะมีฤทธิ์และสรรพคุณในการช่วยป้องกันและบรรเทาอาการป่วยจากโรคได้หลายชนิด ไม่ว่าจะเป็นช่วยป้องกันโรคหวัด มีสารต้านอนุมูลอิสระซึ่งช่วยลดความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็ง แก้อาการท้องร่วงได้ผลดีมาก นอกจากนี้ในส่วนของเปลือกเงาะก็มีประโยชน์ต่อสุขภาพไม่น้อย เพราะมีการวิจัยสกัด "สารแทนนิน (Tannin)" ในเงาะเพื่อใช้เป็นยาแก้อักเสบและต้านเชื้อแบคทีเรีย11

สรรพคุณของเงาะ...ประโยชน์ในการรักษาโรค
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เงาะ
1 ประโยชน์ของเงาะช่วยอาการท้องเสีย สำหรับใครที่มักมีอาการท้องเสีย โรคบิด หรือท้องร่วงชนิดรุนแรง ให้หาเงาะมากินได้เลย เพราะจะช่วยให้อาการค่อยๆ ดีขึ้นไม่แพ้การใช้ยาเลย

2 สรรพคุณของเงาะช่วยรักษาอาการอักเสบในช่องปาก แก้อาการติดเชื้อ และฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้ดีเชียว แต่การรักษาอาการเหล่านี้ควรเอาเงาะไปต้มแล้วจึงนำน้ำมาดื่มเพื่อเป็นยาแก้อักเสบ

3 เงาะมีประโยชน์เพราะวิตามินซีสูง ทราบกันไปแล้วว่าเงาะมีวิตามินซี แต่อยากย้ำอีกทีว่ามีสูงมาก เพราะแค่เรากินเงาะเพียง 5 ลูก ร่างกายก็จะได้วิตามินซีถึง 46 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน ทำให้ภูมิคุ้มกันแข็งแรงและทำงานดีขึ้น

4 เงาะมีแคลเซียม เป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่มีอยู่ในเงาะ และมีประโยชน์ต่อการเสริมสร้างความแข็งแรงให้แก่กระดูกและฟัน

5 เงาะมีแมกนีเซียม ซึ่งจะช่วยในการรักษาระดับการเต้นของหัวใจให้เป็นปกติ รวมทั้งมีส่วนในการเพิ่มประสิทธิภาพให้แก่กระดูกและฟัน (กระดูกและฟันจะแข็งแรงขึ้นก็เพราะเงาะละคราวนี้)

6 เงาะมีโพแทสเซียม ประโยชน์ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย

7 เงาะมีประโยชน์บำรุงผิวพรรณ หลายคนอาจไม่รู้ว่าเงาะช่วยบำรุงผิวพรรณให้ดูสวยงาม สดใส เปล่งปลั่ง มีน้ำมีนวลได้ไม่แพ้ผลไม้ชนิดอื่นๆ เลยทีเดียว

8 เปลือกเงาะมีประโยชน์ไม่แพ้เนื้อเงาะเช่นกัน มีการวิจัยพบว่าเปลือกเงาะมีสารสำคัญซึ่งช่วยต่อต้านอนุมูลอิสระได้เป็นอย่างดี และมีพิษต่อเซลล์ภายในร่างกายน้อยมากเมื่อเทียบกับเปลือกผลไม้ชนิดอื่น

9 เงาะมีวิตามินบี 1 ที่ทำหน้าที่เผาผลาญคาร์โบไฮเดรตให้เป็นพลังงาน และส่งผลให้ระบบประสาท หัวใจ และทางเดินอาหารทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ

10 เงาะก็มีวิตามินบี 2 จะช่วยดูแลผิวหนังและเนื้อเยื่อต่างๆ ให้พลังงานแก่ร่างกาย และช่วยบำรุงผิว เส้นผม และเล็บ

11 เงาะมีไนอาซิน หรือ วิตามินบี 3  เป็นสารอาหาร วิตามินที่มีอยู่ในเงาะเป็นสำคัญ มีสรรพคุณช่วยในการลดระดับคอเลสเตอรอล ช่วยเผาผลาญไขมัน ทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานดีขึ้น
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง
เห็นสรรพคุณ และประโยชน์ของเงาะกันขนาดนี้แล้ว คราวนี้คงเชื่อกันซะทีนะว่า เงาะจัดเป็นสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากๆ จริงๆ แต่ด้วยความที่เงาะมีรสชาติหวานจึงควรระวังในเรื่องการกินไว้ด้วย เพราะหากจะจัดกลุ่มผลไม้ที่มีน้ำตาลมากหรือน้ำตาลน้อย ก็ขอเตือนก่อนว่า เงาะจัดอยู่ในกลุ่มแรกนะ ฉะนั้นหากไม่อยากอ้วนก็ต้องกินในปริมาณที่เหมาะสมกันน้า อย่ามัวเพลินกับเนื้อแสนอร่อย จนเผลอทานเป็นกิโลๆ อ้วนง่ายๆ โดยไม่รู้ตัวเอานะ...จะบอกให้

ทุเรียน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทุเรียน



                                                    ทุเรียน  DURIAN
สำหรับทุเรียนหลายคนบอกว่า

ทุเรียนอร่อยมากกินอิ่มแทนข้าวเลยก็ว่าได้
ทุเรียนหอมกลิ่นน่าชวนให้รับประทาน
ทุเรียนมีรสชาติที่หวานถูกใจ
 สำหรับทุเรียนหลายครั้งที่ได้ยินว่า
กินทุเรียนแล้วอ้วน
กลิ่นทุเรียนชวนเวียนหัว
กินมากๆระวังร้อนใน
ทุเรียน เรียกได้ว่าเป็น “ราชาผลไม้” เลยก็ว่าได้เพราะความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะในตัวของทุเรียนเอง รูปร่างที่มีหนามโดดเด่น เนื้อทุเรียนภายในเหลืองอร่าม กลิ่น และรสชาติที่หลายๆคนติดใจ
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ทุเรียน
คุณค่าทางโภชนาการของทุเรียน
ทุเรียน (Durio zibethinus)
คุณค่าทางโภชนาการต่อ 100 ก. (3.5 ออนซ์)
พลังงาน 150 kcal 620 kJ
คาร์โบไฮเดรต 27.09 g
เส้นใย 3.8 g
ไขมัน 5.33 g
โปรตีน 1.47 g
น้ำ 65 g
เบต้า-แคโรทีน 46 μg 0%
วิตามินบี1 0.16 mg 12%
วิตามินบี2 0.23 mg 15%
ไนอะซิน 2.5 mg 17%
วิตามินซี 19.7 mg 33%
แคลเซียม 29 mg 3%
เหล็ก 1.1 mg 9%
ฟอสฟอรัส 34 mg 5%
โพแทสเซียม 436 mg 9%
 เป็นยาถ่ายชั้นดีแต่โบร่ำโบราณ
จริงๆ แล้วทุเรียนเป็นผลไม้ที่คนโบราณนิยมกินเพื่อเป็นยาถ่ายพยาธิครับ เพราะแต่ก่อนไม่มียาหมอฝรั่งวางขายทั่วไปเหมือนในปัจจุบัน เลยใช้ภูมิปัญญาชาวบ้านจากการคิดค้นของผู้เฒ่าผู้แก่เอง
โดยใช้ช่วง เวลาตื่นนอนเช้าหน่อยประมาณ ตี 5 ซึ่งเป็นเวลาที่ธาตุต่างๆของเราเริ่มทำงาน หลังจากที่เราล้างหน้า แปรงฟันเสร็จแล้ว ให้ทานทุเรียนประมานครึ่งลูก หรือ 2-3 พู ใหญ่ และดื่มน้ำอุ่นๆตามหลังจากที่ทานเสร็จ จากนั้นงดอาหารเช้า 2 วันเลยครับ   เส้นใยและความร้อนจากสารกำมะถันในทุเรียนจะไปชะล้างพยาธิและสิ่งสกปรก ต่างๆ ในลำไส้ออกมาจนหมด ทำให้คุณผอมลง ร่างกายแข็งแรงสดชื่นด้วย
อันนี้เป็นเคล็ดลับจากคนโบราณนะครับ นานๆทำทีก็ได้ครับ ถ่ายพยาธิแบบธรรมชาติ ^^
ทุเรียนอร่อยได้ประโยชน์
ทุเรียนอร่อยได้ประโยชน์

ประโยชน์ตั้งแต่ผลทุเรียนจนถึงลำต้น
เนื้อ: เนื้อทุเรียนมีกำมะถันเป็นส่วนประกอบหลัก ทำให้ร้อน แต่ความร้อนนี้ล่ะจะช่วยแก้โรคผิวหนังได้ ทำให้ฝีหนองแห้งเร็ว และมีฤทธิ์ขับพยาธิได้ด้วย
เปลือก: ถ้าเอาเปลือกแหลมๆ ไปสับแช่ในน้ำปูนใส แล้วเอามาล้างแผลพุพอง แผลน้ำเหลืองเสีย แผลจะหายเร็ว หรือถ้าหากมีเด็กในบ้านเป็นคางทูม คนสมัยก่อนเขาก็จะเอาเปลือกทุเรียนไปเผาแล้วบดเป็นผง เอมาผสมกับน้ำมันงาหรือน้ำมันมะพร้าว แล้วเอามาพอกที่คาง คางทูมก็จะยุบ
ใบทุเรียน: เอาใบทุเรียนไปต้มกับน้ำแล้วเอาน้ำนั้นมาอาบ ความร้อนจะช่วย ให้หายไข้และโรคดีซ่านได้
ราก:ตัดเป็นข้อๆ ใส่หม้อต้มให้เดือด นำมาดื่มบรรเทาอาการไข้และรักษาอาการท้องร่วงได้ดี
ทุเรียนอร่อยได้ประโยชน์
ทุเรียนอร่อยได้ประโยชน์

เคล็ดลับสำหรับสาวๆนะครับ
นำ เนื้อทุเรียนสุกพอห่ามๆ ไม่ต้องสุกมาก มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ สักกำมือหนึ่ง ปั่นหรือบดก็ได้ครับ รวมกับดินสอพอง 1/4 ช้อนโต๊ะ จนเป็นเนื้อข้นๆ ทาไปเลยทั่วผิว เว้นรอบดวงตาและปาก หรือบริเวณที่เป็นสิว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที จึงล้างออก ธาตุกำมะถันในทุเรียนจะทำให้สิวแห้งเร็วขึ้น
งานนี้ รับรองว่าถ้ากินไม่หมดเพราะว่าซื้อมาเยอะก็ยังเอามาทำเป็นยาบำรุงผิว รักษาสิวได้อีก สรรพคุณดีๆอย่างนี้แล้วใครที่ไม่ชอบทานก็ลองหันมาลองทำยารักษาบำรุงผิวพรรณ ดูได้นะครับ

ส้ม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ส้ม


ส้ม

ส้ม (Orange) ผลไม้ยอดฮิตตลอดกาล จัดเป็นผลไม้ตระกูล Citrus ให้รสชาติเปรี้ยวหวาน ที่ยังอุดมไปด้วยวิตามินต่าง ๆ ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกายของเรา เอ…แล้วส้มมีวิตามินอะไรบ้าง ? เช่น วิตามินซี วิตามินเอ (เบตาแคโรทีน) วิตามินบี วิตามินดี ธาตุแคลเซียม ธาตุโพแทสเซียม ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุเหล็ก และคอลลาเจน นอกจากนี้ยังมีใยอาหารที่ช่วยในระบบขับถ่ายอีกด้วย สำหรับสรรพคุณของส้มในเรื่องอื่น ๆ เช่น ช่วยรักษาเลือดออกตามไรฟัน ช่วยล้างสารพิษในร่างกายด้วยสารต่อต้านอนุมูลอิสระ เป็นต้น

สำหรับการกินส้มนั้นสามารถกินได้ทุกเพศทุกวัยไม่ว่าจะเด็กหรือผู้ใหญ่ก็ตาม แต่ทั้งนี้เด็กต้องอายุมากกว่า 6 เดือนและการให้ดื่มน้ำส้มนั้นควรจะผสมน้ำเปล่าไปด้วยในปริมาณครึ่งต่อครึ่ง ทั้งนี้เพื่อลดการระคายเคืองสำหรับเด็ก เพราะส้มนั้นจะมีรสชาติเข้มข้น และการผสมน้ำก็เป็นอีกวิธีสำคัญที่ทำให้เด็กไม่ติดกินหวานได้ดีอีกด้วย และถัดมาสำหรับผู้ที่เป็นโรคเบาหวานหรือโรคไต หรือคิดว่ากำลังจะลดความอ้วน ควรกินด้วยความระมัดระวัง เพราะส้มมีน้ำตาลและโพรแทสเซียมสูง แต่ถ้าจะกินควรเลือกกินเพราะว่าส้มมันมีกากใยมากกว่าคิดว่าเป็นน้ำส้มคั้น

ส้มมีวิตามินซีเท่าไร ? ผลส้มสด 100 กรัม จะมีเบตาแคโรทีน 82 ไมโครกรัม และวิตามินซี 50 มิลลิกรัม ส้ม 1 ผลโดยทั่วไปจะมีน้ำหนักเฉลี่ยอยู่ที่ 140 กรัม ก็เท่ากับว่าส้ม 1 ลูกมีวิตามินซี 70 mg. และมีเบตาแคโรทีน 115 mcg. นั่นเอง “โดยการกินส้มวันละผลถือเป็นสิ่งที่ดี และยังช่วยป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้อีกด้วย”

สำหรับสายพันธุ์ส้มนั้นมีหลากหลายชนิด แต่ละชนิดจะมีลักษณะและรสชาติที่แตกต่างกันออกไป โดยการเลือกซื้อส้มให้มีรสชาติหวานอร่อยควรเลือกส้มที่ผิวเรียบเนียน เปลือกบาง เพราะจะให้น้ำเยอะ สำหรับส้มที่นิยมปลูกมากในบ้านเรานี้ก็ได้แก่ ส้มเกลี้ยง ส้มเขียวหวาน ส้มจุก ส้มตรา (ส้มเช้ง) และส้มโอ ส่วนชนิดของส้มนั้นก็ได้แก่ส้มเขียวหวาน มีเนื้อหวาน เหมาะกับการคั้นกินสด ๆ มีเปลือกบางและคั้นดื่มง่าย
ส้มเกลี้ยง ถิ่นกำเนิดจากจีน เป็นหนึ่งในตระกูลส้มที่นิยมปลูกกันมากในไทย เหมาะแก่การใช้ทำบุญหรืองานเทศกาลต่าง ๆ
ส้มเช้งหรือส้มตรา ส้มพื้นเมืองของชาวจีนและจัดว่าเป็นผลไม้มงคลในการประกอบพิธีต่าง ๆ ใช้กินสด ๆ หรือทำเป็นน้ำผลไม้
ส้มแก้ว ปลูกมากในจังหวัดสมุทรสงคราม เป็นส้มที่มีขนาดใหญ่รองจากส้มโอ นิยมใช้ทำน้ำส้มคั้น และเป็นผลไม้เซ่นไหว้ในช่วงเทศกาลต่าง ๆ
ส้มจุก มีรสชาติหวานอ่อน ๆ เหมาะกับผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน หรือผู้ที่ต้องการลดน้ำหนัก
ส้มจีน ผลไม้มงคลสำหรับคนจีน สีเหมือนทอง นิยมนำมาไหว้เจ้าหรือบรรพบุรุษ
ส้มจี๊ด ไม่นิยมนำมากินเพราะมีรสเปรี้ยวมาก แต่คนจีนนิยมนำมาอบแห้ง
ส้มโอ สามารถนำมาทำอาหารได้หลายชนิดทั้งคาวและหวาน
ส้มซันคิสต์ รสชาติเข้มข้น เปลือกมีกลิ่นหอม นิยมใช้เปลือกมาทำขนม เช่น แยม คุกกี้
เลมอน มีรสเปรี้ยวหวานนิด ๆ เป็นที่นิยมของต่างประเทศ
มะนาว ก็จัดอยู่ในตระกูลส้มเหมือนกันและจัดว่ามีรสเปรี้ยวมากที่สุด
มะกรูด นิยมนำกลิ่นหอมจากเปลือกมาใช้ในการปรุงอาหาร แต่น้ำมะกรูดก็นำมาใช้ทำยาสระผมได้เหมือนกัน
สรรพคุณของส้ม
ดื่มแก้กระหาย เพิ่มความสดชื่นให้แก่ร่างกาย เพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
ส้มมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระมากมาย จึงช่วยในการชะลอวัย
ส้มมีคุณสมบัติในการช่วยสร้างคอลลาเจน ทำให้ช่วยลดเลือนหรือชะลอการเกิดริ้วรอยแห่งวัยได้
ส้มช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
ช่วยให้ผิวมีสุขภาพดีไม่แห้งกร้าน
ช่วยบำรุงสายตา ป้องกันการเกิดโรคต้อกระจก เพราะส้มมีวิตามินซี
ช่วยเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง ด้วยแคลเซียมและวิตามินดีจากส้ม
การกินส้มก็ช่วยลดสภาวะความเครียดได้เหมือนกันนะ
ส้มช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้แก่ร่างกาย ให้สุขภาพร่างกายแข็งแรง
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
ช่วยป้องกันการเกิดโรคเลือดออกตามไรฟัน
ช่วยป้องกันการเกิดโรคหัวใจ
ช่วยในการขับถ่าย เพราะส้มมีกากใยสูง
ช่วยลดโอกาสการเกิดโรคมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง และที่กระเพาะ
ช่วยป้องกันการเป็นอัมพาตหากกินผลไม้ตระกูลส้มเป็นประจำ
สารฟลาโวนอยด์ในส้มจะช่วยป้องกันการอักเสบและเลือดจับตัวกันเป็นก้อน
ในส้มมีสารเบตาแคโรทีนที่ช่วยชะลอความเสื่อมเส้นผม เล็บ และผิวของคุณ และช่วยให้ผนังหลอดเลือด เส้นเลือดฝอยแข็งแรง
ช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอในร่างกายของเรา
ช่วยในการสมานแผลต่าง ๆ เช่น แผลไฟไหม้หรือแผลหลังผ่าตัดให้หายดียิ่งขึ้น
เปลือกส้มจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ช่วยแก้อาการวิงเวียนศีรษะและเป็นยาระบายอ่อน ๆ
เปลือกส้มมีสารช่วยลดคอเลสเตอรอล ช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และช่วยกรองสารพิษในตับได้ด้วย
การเสิร์ฟเปลือกส้มคู่กับอาหารที่เป็นเนื้อสัตว์ จะช่วยในการย่อยอาหารที่มีไขมันสูงได้
เปลือกส้มมีฤทธิ์ในการช่วยทำลายเซลล์มะเร็งได้
เปลือกส้มที่แห้งแล้ว เมื่อนำไปจุดไฟจะมีกลิ่นหอมและมีคุณสมบัติในการไล่ยุง
ประโยชน์ของส้ม น้ำมันหอมระเหยจากเปลือกส้มก็ช่วยให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายและช่วยกระตุ้นระบบประสาทได้ดี
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำส้ม
คุณค่าทางโภชนาการของส้ม ต่อ 100 กรัม
พลังงาน 47 กิโลแคลอรี
คาร์โบไฮเดรต 11.75 กรัม
น้ำตาล 9.35 กรัม
เส้นใย 2.4 กรัม
ไขมัน 0.12 กรัม
โปรตีน 0.94 กรัม
วิตามินเอ 11 ไมโครกรัม 1%
วิตามินบี 1 0.087 มิลลิกรัม 8%
วิตามินบี 2 0.04 มิลลิกรัม 3%
วิตามินบี 3 0.282 มิลลิกรัม 2%
วิตามินบี 5 0.25 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 6 0.06 มิลลิกรัม 5%
วิตามินบี 9 30 ไมโครกรัม 8%
โคลีน 8.4 มิลลิกรัม 2%
วิตามินซี 53.2 มิลลิกรัม 64%
วิตามินอี 0.18 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแคลเซียม 40 มิลลิกรัม 4%
ธาตุเหล็ก 0.1 มิลลิกรัม 1%
ธาตุแมกนีเซียม 10 มิลลิกรัม 3%
ธาตุแมงกานีส 0.025 มิลลิกรัม 1%
ธาตุฟอสฟอรัส 14 มิลลิกรัม 2%
โพแทสเซียม 181 มิลลิกรัม 4%
ธาตุสังกะสี 0.07 มิลลิกรัม 1%
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำส้ม

วันจันทร์ที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2560

กล้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ กล้วย



กล้วย


กล้วย (Banana) ที่นิยมรับประทานกันในบ้านเรานั้นมีอยู่หลากหลายสายพันธุ์ เช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ กล้วยหักมุก เป็นต้น แต่สำหรับต่างชาติแล้วกล้วยที่นิยมมากที่สุดคงหนีไม่พ้นกล้วยหอม เนื่องจากกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ ถ้าพูดถึงเรื่องประโยชน์แล้วมีงานวิจัยชิ้นหนึ่งระบุชัดเจนว่าการรับประทานกล้วยแค่ 2 ลูกจะช่วยเพิ่มพลังงานในร่างกายได้เทียบเท่ากับการออกกำลังกายถึง 90 นาทีเลยทีเดียว ! เพราะกล้วยอุดมไปด้วยน้ำตาลจากธรรมชาติรวมถึง 3 ชนิดเลย นั่นก็คือ ซูโครส กลูโคส และฟรุกโทส ซึ่งช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายนั่นเอง
นอกจากนี้แล้วในกล้วยยังอุดมไปด้วยเส้นใยและกากอาหาร และยังมีวิตามินและแร่ธาตุนานาชนิดที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ธาตุฟอสฟอรัส ธาตุโพแทสเซียม ธาตุแมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี เป็นต้น
คุณรู้หรือไม่ ผลไม้อย่างแอปเปิลที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีประโยชน์ก็ยังแพ้กล้วย เพราะว่าในกล้วยนั้นมีวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ มากกว่าแอปเปิลถึง 2 เท่า โดยมีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีโปรตีนมากกว่า 4 เท่า วิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่าด้วยกัน ! โดยการกินกล้วยจะให้ผลดีที่สุดคือกินตอนเช้า เพราะจะช่วยให้ระบบต่าง ๆ ในร่างกายทำงานได้ดี และการกินกล้วยทุกวัน วันละ 2 ผลถือเป็นสิ่งที่ดีและวิเศษมาก ๆ จะกล้วยหอม กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้าก็ได้ทั้งนั้น

ประโยชน์ของการกินกล้วย

  1. ช่วยลดกลิ่นปากได้ดีในระดับหนึ่ง แต่ทั้งนี้ควรรับประทานหลังตื่นนอนตอนเช้าทันทีแล้วค่อยแปรงฟัน และถ้าเป็นกล้วยน้ำว้าจะยิ่งช่วยลดกลิ่นปากได้ดีขึ้น
  2. กล้วยช่วยควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เป็นปกติ
  3. กล้วยอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุต่าง ๆ ที่สำคัญและจำเป็นต่อร่างกาย เช่น ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม คาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามินเอ วิตามินบี 6 วิตามินบี 12 และวิตามินซี
  4. ช่วยเพิ่มพลังให้แก่สมองของคุณ เพราะมีสารที่ช่วยทำให้มีเกิดสมาธิและมีการตื่นตัวตลอดเวลา
  5. กล้วยก็มีสารต่อต้านอนุมูลอิสระเหมือนกันนะ ที่ช่วยในการชะลอความแก่ตัวของร่างกายนั่นเอง
  6. กล้วยมีส่วนช่วยในการลดความอ้วนได้ เพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด ช่วยให้ลดอาการอยากกินของจุกจิกลงได้พอสมควร
  7. สำหรับผู้ที่มีอาการนอนไม่หลับ กล้วยคือคำตอบสำหรับคุณ
  8. อาการหงุดหงิดยามเช้า กล้วยก็ช่วยคุณได้เหมือนกัน
  9. ช่วยลดอาการหงุดหงิดของผู้หญิงในช่วงประจำเดือนมา
  10. ช่วยลดอาการเมาค้างได้ดีระดับหนึ่ง เพราะจะช่วยชดเชยน้ำตาลที่ร่างกายขาดไปในขณะดื่มแอลกอฮอล์
  11. เป็นตัวช่วยสำหรับผู้ที่ต้องการเลิกสูบบุหรี่ เพราะในกล้วยมีวิตามินเอ ซี บี 6 บี 12 โพรแทสเซียม และแมกนีเซียมที่ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็วขึ้นจากการเลิกนิโคติน
  12. ช่วยรักษาอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยและกากอาหารซึ่งจะช่วยให้ขับถ่ายได้อย่างปกติ
  13. ช่วยบรรเทาอาการของริดสีดวงทวารหรือในขณะขับถ่ายจะมีเลือดออกมา
  14. ช่วยลดอาการเสียดท้อง ลดกรดในกระเพาะ การกินกล้วยจะทำให้คุณรู้สึกผ่อนคลายจากอาการนี้ได้
  15. ช่วยรักษาโรคโลหิตจางได้ เพราะในกล้วยมีธาตุเหล็กสูง ซึ่งจะช่วยในการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด เพื่อรักษาภาวะโลหิตจางหรือผู้ที่อยู่ในสภาวะขาดกำลัง
  16. ช่วยรักษาโรคความดันโลหิตสูงหรือเส้นเลือดฝอยแตกได้
  17. ช่วยลดโอกาสเสี่ยงของการเกิดเส้นโลหิตแตกได้
  18. สำหรับผู้ที่เป็นโรคกระเพาะหรือกระเพาะอักเสบ การรับประทานกล้วยบ่อย ๆ ถือเป็นสิ่งที่ดีมาก เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง มีความนิ่มและเส้นใยสูง
  19. ช่วยรักษาแผลในลำไส้เรื้อรัง เพราะกล้วยมีสภาพเป็นกลาง ทำให้ไม่เกิดการระคายเคืองในผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย
  20. ช่วยรักษาโรคซึมเศร้า ภาวะความเครียด เพราะกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า Tryptophan ซึ่งช่วยในการผลิตสาร Serotonin หรือฮอร์โมนแห่งความสุข จึงมีส่วนช่วยในการผ่อนคลายอารมณ์ได้ดียิ่งขึ้น
  21. ช่วยลดอัตราการเกิดตะคริวบริเวณมือ เท้า และน่องได้
  22. ช่วยบรรเทาอาการแพ้ท้องของมารดาลงได้
  23. กล้วยมีสรรพคุณช่วยบรรเทาอาการนิ่วในไตได้ในระดับหนึ่ง

    ประโยชน์ของกล้วย

    1. กล้วยก็สามารถนำมาทำเป็นมาส์กหน้าได้เหมือนกันนะ โดยจะช่วยเพิ่มความชุ่มชื่นให้แก่ผิว ช่วยลดความหยาบกร้านของผิว วิธีง่าย ๆ เพียงแค่ใช้กล้วยสุกหนึ่งผลมาบดให้ละเอียด แล้วเติมน้ำผึ้ง 2 ช้อนโต๊ะ จากนั้นคลุกให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกหน้าทิ้งไว้ประมาณ 15 นาทีแล้วล้างออก
    2. เปลือกกล้วยสามารถแก้ผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้ ด้วยการลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด อาการคันจะลดลงไปได้ระดับหนึ่ง
    3. เปลือกด้านในของกล้วยช่วยในการรักษาโรคหูดบนผิวหนังได้ โดยใช้เปลือกกล้วยวางบนลงบริเวณหูดแล้วใช้เทปกาวแปะไว้
    4. เปลือกกล้วยด้านในช่วยฆ่าเชื้อที่เกิดจากบาดแผลได้เหมือนกัน แต่อย่างไรก็ตามเมื่อแปะที่บาดแผลแล้วก็ควรจะเปลี่ยนเปลือกใหม่ทุก ๆ 2 ชั่วโมงด้วย
    5. ยางกล้วยสามารถนำมาใช้ในการห้ามเลือดได้
    6. ก้านใบตอง ช่วยลดอาการบวมของฝี แต่ก่อนใช้ต้องตำให้แหลกเสียก่อน
    7. ใบอ่อนของกล้วย หากนำไปอังไฟให้นิ่ม ก็ใช้ประคบแก้อาหารเคล็ดขัดยอกได้
    8. หัวปลีนำมารับประทานเพื่อช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด รวมทั้งบำรุงและขับน้ำนมสำหรับมารดาหลังคลอดบุตร
    9. ผลดิบนำมาบดให้ละเอียดทั้งลูกผสมกับน้ำสะอาด รับประทานเพื่อแก้อาการท้องเสีย
    10. ใบตอง อีกส่วนที่นำมาใช้ประโยชน์กันอย่างมาก เช่น ทำกระทง ห่อขนม ห่ออาหาร ทำบายศรี บวงสรวงต่าง ๆ

      คุณค่าทางโภชนาการของกล้วย ต่อ 100 กรัม

      • พลังงาน 89 กิโลแคลอรี
      • คาร์โบไฮเดรต 22.84 กรัม
      • น้ำตาล 12.23 กรัม
      • เส้นใย 2.6 กรัม
      • ไขมัน 0.33 กรัม
      • โปรตีน 1.09 กรัม
      • วิตามินบี 1 0.031 มิลลิกรัม 3%
      • วิตามินบี 2 0.073 มิลลิกรัม 6%
      • วิตามินบี 3 0.665 มิลลิกรัม 4%
      • วิตามินบี 5 0.334 มิลลิกรัม 7%
      • วิตามินบี 6 0.4 มิลลิกรัม 31%
      • วิตามินบี 9 20 ไมโครกรัม 5%
      • โคลีน 9.8 มิลลิกรัม 2%
      • วิตามินซี 8.7 มิลลิกรัม 10%
      • ธาตุเหล็ก 0.26 มิลลิกรัม 2%
      • ธาตุแมกนีเซียม 27 มิลลิกรัม 8%
      • ธาตุแมงกานีส 0.27 มิลลิกรัม 13%
      • ธาตุฟอสฟอรัส 22 มิลลิกรัม 3%
      • โพแทสเซียม 358 มิลลิกรัม 8%
      • ธาตุโซเดียม 1 มิลลิกรัม 0%
      • ธาตุสังกะสี 0.15 มิลลิกรัม 2%
      • ธาตุฟลูออไรด์ 2.2 ไมโครกรัม

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2560

ฝรั่ง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฝรั่ง


ฝรั่ง
ประโยชน์ต่อสุขภาพ

ทราบหรือไม่ว่าฝรั่ง 1 ขีด มีวิตามินซีสูงถึง 180 มิลลิกรัม วิตามินซีมีบทบาทในการสร้างคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าของคุณเต่งตึงไม่แก่ก่อนวัย และวิตามินซี เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ซึ่งเจ้าตัวสารต้านอนุมูลอิสระนี้เอง ที่ทำให้คอลลาเจน และอีลาสติเสื่อมสภาพ ผิวหนังเหี่ยวแห้ง เกิดริ้วรอยตีนกา วิตามินซีมีความสำคัญต่อการสร้างและบำรุงเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน เซลล์นับล้านตัวเกาะเกี่ยวกันเป็นร่างกายได้ด้วยเนื่อเยื่อที่เรียกว่า คอลลาเจนี มันคือ คอลลาเจนตัวเดียวกับคอลลาเจน ที่ทำให้ผิวพรรณบนใบหน้าเต่งตึงนั่นเอง

ส่วนผสมฝรั่งอบแห้งปรุงรส

  1. ฝรั่งสด 2 กิโลกรัม
  2. น้ำตาลทราย 300 กรัม
  3. เกลือป่น 50 กรัม
  4. กรดมะนาว 1.5 กรัม

เครื่องปรุงรส(สำหรับผลไม้อบแห้ง 1 กิโลกรัม)

  1. น้ำตาลทราย 100 กรัม
  2. เกลือป่น 10 กรัม
  3. พริกแห้งป่น 5 กรัม

วิธีทำฝรั่งอบแห้งปรุงรส

  1. ฝรั่งสดล้างสะอาด ผ่าเอาเมล็ดออก หั่นหนาประมาณ 1.5 เซนติเมตร
  2. ผสมเกลือและกรดมะนาวคลุกให้ทั่ว หมักไว้ 1 คืน (อาจคลุกในถุงพลาสติกใบใหญ่ แล้วรัดปากถุง เก็บได้เลย)
  3. รุ่งขึ้นตักเนื้อฝรั่งขึ้นและนำไปคลุกกับน้ำตาลทรายหมักไว้ 1 คืน
  4. รุ่งขึ้นตักเนื้อฝรั่งจากน้ำเชื่อม นำไปตากหรืออบด้วยตู้อบลมร้อนที่อุณอุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส พอหมาดๆ
  5. นำมาคลุกกับเครื่องปรุงรส
  6. เก็บในภาชนะสะอาดแห้งและปิดสนิท
  7. สูตรและวิธีการทำฝรั่งแช่บ๊วยเด็ดๆจากพันทิพ
    สวัสดีครับทุกๆคนที่กำลังหา วิธีการทำฝรั่งแช่บ๊วย อยู่แล้วละก็ ลองมาติดตามสูตรเด็ดที่เราได้หามาจากพันทิพมาฝากเพื่อนๆให้ได้ลองทำทานกันเองที่บ้าน หรือ จะลองนำมเพื่อทำขายเป็นธุรกิจเล็กๆภายในครอบครัวก็ได้ ขั้นตอนที่เรานำเสนอก็ตั้งแต่การเลือกฝรั่งจนถึงการทำผงบ๊วบเลยทีเดียว พร้อมแล้วเราไปเริ่มทำกันเลย

     สูตรและวิธีการทำฝรั่งแช่บ๊วยเด็ดๆจากพันทิพ

    การเลือกฝรั่ง

    1. เลือกฝรั่งที่ผลห่าม ๆ (ไม่นิ่มจนเกินไป ) ประมาณ 10 กิโลกรัม 
    2. ล้างฝรั่งให้สะอาด 
    3. นำฝรั่งมาปอกเปลือกออกและคว้านจุกออก 
    4. ล้างฝรั่งอีกครั้งหนึ่ง

    อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม

    1. ถุงมือ
    2. มีดปอกผลไม้
    3. มีดคว้านผลไม้
    4. กะละมัง

    ส่วนผสมต่างๆ

    1. แป้งหวานหรือหัวน้ำตาลหวาน 2 ช้อนชา (หัวน้ำตาลหวานหรือดีน้ำตาลก็คือขัณฑสกรนั่นแหละสำหรับคนที่หาซื้อแป้งหวานไม่ได้ แต่ถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ อย่าใช้ขัณฑสกรเลยมันไม่อร่อยสู้แป้งหวานไม่ได้อร่อยกว่าเยอะ)
    2. บ๊วยลูกดอง 5 ลูก พร้อมน้ำบ๊วย 2 ช้อนโต๊ะ (บ๊วยที่เค้าเอาไปทำฟักต้มกระดูกหมูอะ)
    3. เกลือป่น 3 ช้อนโต๊ะ
    4. น้ำต้มสุก (เย็นแล้ว) 2 แก้ว
    5. น้ำตาลทราย ½ กิโลกรัม
    6. สีผสมอาหาร สีเขียว 1 ช้อนชา

    ขั้นตอนและวิธีทำ

    ใส่ส่วนผสมทั้งหมดลงในกะละมัง ใส่ถุงมือคนให้เข้ากันนำฝรั่งลงไปในส่วนผสม คนให้เข้ากัน ประมาณ 1 ชั่วโมง เสร็จแล้วนำแช่เย็นจะเพิ่มความอร่อย (เก็บไว้รับประทานได้ประมาณ 4 วัน)

    การทำผงบ๊วยสำหรับจิ้ม

    1. บ๊วยแห้งแกะเอาแต่เนื้อ 15 ลูก
    2. น้ำตาลทราย ครึ่ง กิโลกรัม
    3. นำมาปั่นรวมกันจนเป็นผง 

แตงโม


แตงโม  

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผลไม้ไทย





แตงโม

ประโยชน์ต่อสุขภาพ
แตงโมมีสารที่ว่ากันว่า ให้ความชุ่มชื้นต่อผิวที่แห้งผาก หรือผิวที่ร้อนระอุในช่วงหน้าร้อนเป็นอย่างดี และแตงโมนั้นก็ยังให้ความเย็นอยู่บนผิวของเราได้นานกว่าผลไม้ชนิดอื่น โดยวิธีการดังนี้
เตรียมผ้ากรองชนิดบางขนาดผ้าพันแผล 2 ผืน เฉือนเนื้อแตงโมเป็นชิ้นบางๆ พอประมาณ วางลงระหว่างผ้าที่เตรียมไว้ โดยให้เนื้อแตงโมอยู่ระหว่างกลางผ้า 2 ชิ้น หลังจากนั้น นำมาวางปิดลงบนใบหน้าให้ทั่ว เว้นส่วนของรูจมูก ให้ผ้าและชิ้นแตงโมติดผิวหน้าและทุกส่วน ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที หลังจากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด



ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ําแตงโม

เครื่องดื่ม..น้ำแตงโมปั่น


ส่วนผสม

เนื้อแตงโมแคะเมล็ดออกหั่นชิ้นเล็กๆ 1 1/2 ถ้วยตวง
น้ำเชื่อม 1/2 ถ้วยตวง
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำต้มสุก 1/2 ถ้วยตวง
น้ำแข็งบด 2 ถ้วยตวง
วิธีทำ

ใส่เนื้อแตงโม น้ำเชื่อม เกลือ น้ำ และน้ำแข็งลงในโถปั่น ปั่นให้เข้ากัน
วิธีเสิร์ฟ รินใส่แก้ว ตกแต่งให้สวยงามเสิร์ฟได้ทันที
คุณค่าทางโภชนาการ

ในแตงโมมีสารอาหารต่างๆ คือ พลังงาน คาร์โบไฮเดรต กากใย เนื้อของผลแตงโมหากรับประทานอย่างสม่ำเสมอจะมีสรรพคุณในการบำรุงร่างกาย ทำให้เจริญอาหาร ช่วยในการย่อยอาหาร รักษาโรคไต บรรเทาอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ลดความดันโลหิต และช่วยในการขับปัสสาวะได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้น้ำแตงโมยังมีสรรพคุณในการลดความร้อนภายในร่างกายอีกด้วย